Table of Contents

YouTube เป็นแพลตฟอร์มวิดีโออันดับต้น ๆ ของโลก ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่แหล่งความบันเทิง แต่ยังเป็นช่องทางการตลาดออนไลน์ (Digital Marketing Channel) ที่ทรงพลังNative Ads คืออะไร ใคร ๆ ก็สามารถโปรโมตวิดีโอ ทำแบรนด์ดิ้ง หรือสร้างยอดขายผ่าน YouTube Ads ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทำความเข้าใจกับรูปแบบโฆษณาบน YouTube

  1. TrueView In-stream Ads

     

    • เป็นรูปแบบที่ผู้ชมสามารถกดข้าม (Skip) ได้หลัง 5 วินาที หากผู้ชมกดข้ามก่อน 30 วินาที (หรือก่อนวิดีโอจบ หากสั้นกว่า 30 วินาที) จะไม่คิดเงิน
    • เหมาะกับการบอกเล่าเรื่องราวแบรนด์แบบยาว ๆ เพื่อดึงผู้ชมที่สนใจอยู่จนจบ
  2. Non-skippable In-stream Ads

     

    • ผู้ชมไม่สามารถกดข้ามได้ โดยโฆษณามักยาวไม่เกิน 15 วินาที
    • เหมาะกับการโปรโมตเนื้อหาแบบสั้น ๆ เข้าถึงทุกคนที่ดู (แต่มีต้นทุนสูงกว่า และอาจสร้างความรำคาญได้หากทำไม่ดี)
  3. Bumper Ads

     

    • ความยาวโฆษณาเพียง 6 วินาที แบบข้ามไม่ได้ (Non-skippable)
    • เหมาะกับการทำ Branding สั้น ๆ สร้าง Impact อย่างรวดเร็ว
  4. In-feed Video Ads (เดิมชื่อ Discovery Ads)

     

    • โฆษณาปรากฏในหน้า Home หน้า Search หรือหน้า Watch ของ YouTube ในรูปแบบ Thumbnail พร้อมข้อความ
    • ผู้ใช้คลิกชมวิดีโอในหน้าช่อง YouTube เหมาะสำหรับดึงดูดคนที่สนใจเนื้อหาของคุณ
  5. Masthead Ads

     

    • โฆษณาแบนเนอร์ใหญ่บนหน้าแรกของ YouTube (Home Feed)
    • เหมาะกับแบรนด์ใหญ่ที่ต้องการสร้างการรับรู้มหาศาลในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ราคาสูง

การตั้งเป้าหมายแคมเปญ YouTube Ads

  1. Brand Awareness

     

    • เพื่อให้คนจำนวนมากเห็นโลโก้หรือชื่อแบรนด์ของคุณ อาจเลือกใช้ Bumper Ads หรือ Non-skippable In-stream Ads เพราะได้เข้าถึงทุกคนอย่างแน่นอน
  2. Consideration / Engagement

     

    • ถ้าคุณอยากให้คนดูวิดีโอของคุณจริงจัง และพร้อมศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม TrueView In-stream Ads หรือ In-feed Video Ads อาจเหมาะที่สุด
  3. Conversion / Sales

     

    • หากต้องการให้ผู้ชมกระทำบางอย่างหลังดูโฆษณา เช่น กดลิงก์เข้าเว็บ กรอกแบบฟอร์ม อาจใช้งาน Call to Action Extension หรือพาไปหน้า Landing Page เฉพาะ
  4. App Promotion

     

    • สำหรับแบรนด์ที่มีแอปพลิเคชัน อาจใช้งาน Universal App Campaign (UAC) ที่รวม YouTube Ads เข้าไปด้วย

เคล็ดลับสร้างวิดีโอให้ดึงดูดใจใน 5 วินาทีแรก

  1. Hook ที่แข็งแกร่ง

     

    • ใส่ประโยคหรือภาพที่กระตุ้นความสนใจตั้งแต่แรก ตัวอย่างเช่น “หยุดก่อน! คุณต้องการลดน้ำหนักโดยไม่ต้องออกกำลังกายไหม?”
    • ถ้าใช้ In-stream Ads แนะนำให้ “ตัดต่อ” จุดสำคัญมาข้างหน้า ไม่เช่นนั้นคนจะกดข้ามเร็ว
  2. เล่าเรื่อง (Storytelling)

     

    • ถึงแม้จะเป็นโฆษณา แต่ผู้ชม YouTube มักชอบ “เรื่องราว” มากกว่า “ขายของโต้ง ๆ” ถ้าเล่าเรื่องที่น่าติดตามได้ โอกาสที่คนดูจนจบก็จะสูง
  3. ความยาวเหมาะสม

     

    • ถ้าทำ TrueView Ads ไม่ควรยาวเกินไป (บางกรณี 30-90 วินาทีถือว่ากำลังดี) ยกเว้นคุณมี Story ที่แข็งมากและกลุ่มเป้าหมายให้ความสนใจเฉพาะทาง
  4. Call to Action (CTA) ชัดเจน

     

    • จบวิดีโอด้วยการเชิญชวนให้ทำอะไรต่อ เช่น กดลิงก์ สมัครสมาชิก หรือดาวน์โหลดแอป
    • YouTube รองรับปุ่ม CTA บนวิดีโอ เช่น “เรียนรู้เพิ่มเติม” หรือ “ซื้อเลย” ได้
  5. คุณภาพวิดีโอ

     

    • มุ่งเน้น HD หรือ 4K ถ้าเป็นไปได้ แสง สี เสียงคมชัด จะช่วยสร้างความเชื่อถือและภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับแบรนด์

เทคนิคการ Target ให้เข้าถึงกลุ่มที่ใช่

  1. Demographic

     

    • เลือกช่วงอายุ เพศ สถานที่ หรือรายได้ (สำหรับบางประเทศ) เพื่อให้โฆษณาแสดงเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย
  2. Interests / Affinity

     

    • คนที่มีความสนใจตรงกับแบรนด์ เช่น สายความงาม (Beauty), สายเทคโนโลยี (Tech Enthusiast) เป็นต้น
  3. Custom Intent / Custom Affinity

     

    • สร้างกลุ่มเป้าหมายเอง โดยระบุคีย์เวิร์ด เว็บไซต์ หรือแอปที่พวกเขาใช้งาน
  4. Topics / Placements

     

    • ยิงโฆษณาเฉพาะวิดีโอหรือช่องที่เกี่ยวกับหัวข้อนั้น ๆ เช่น อาหาร, เกม, ท่องเที่ยว
    • เลือก “Placement” เจาะจงช่อง YouTube ที่คุณมั่นใจว่ากลุ่มเป้าหมายดู
  5. Remarketing

     

    • แสดงโฆษณาให้คนที่เคยดูวิดีโอช่องคุณ หรือเคยเข้าเว็บของคุณ เป็นวิธีตามลูกค้ากลับมา (Retargeting) ที่มีประสิทธิภาพสูง

วัดผลและปรับปรุงการทำ YouTube Ads

  1. Metrics สำคัญ

     

    • View Rate: เปอร์เซ็นต์ของคนที่ดูโฆษณาจนถึงจุดที่คิดเงิน (หรือดูจนจบ)
    • CTR (Click-Through Rate): อัตราการคลิกต่อจำนวนคนดู
    • CPV (Cost Per View): ต้นทุนต่อ 1 View
    • Conversion: จำนวนการกระทำที่เกิดขึ้น เช่น กดสั่งซื้อ กรอกฟอร์ม ฯลฯ
  2. A/B Testing

     

    • ทดลองวิดีโอคนละเวอร์ชัน โฟกัสจุดต่าง เช่น Opening, CTA, เสียงเพลง ฯลฯ เพื่อหาเวอร์ชันที่ Performance สูง
  3. Optimize Bids & Budgets

     

    • ถ้าเป้าหมายคือ Awareness อาจใช้ “Maximize Impressions” หรือ CPV
    • ถ้าเน้น Conversion อาจใช้ “Target CPA” หรือ “Maximize Conversions”
  4. ติดตั้ง Tracking

     

    • ใช้ Google Ads Conversion Tracking หรือเชื่อม Google Analytics เพื่อดูเส้นทางผู้ชมหลังคลิกโฆษณา

ใส่ E-A-T เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือ

  1. Expertise

     

    • หากวิดีโอเกี่ยวกับการให้คำแนะนำ เจาะจงใส่ชื่อผู้เชี่ยวชาญ ตำแหน่ง หรือใบรับรองต่าง ๆ ที่สะท้อนความ “มืออาชีพ”
  2. Authoritativeness

     

    • การได้รับการอ้างอิงจากสถาบัน หรือมีพาร์ทเนอร์ใหญ่ ๆ ร่วมด้วย จะช่วยให้คนดูเชื่อว่าคุณเป็นแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ
  3. Trustworthiness

     

    • แสดงรีวิว ผลงาน หรือกรณีศึกษา (Case Study) ของลูกค้าจริง ในรูปแบบที่จับต้องได้ เช่น ภาพก่อน-หลัง (Before-After), ตัวเลขยอดขายที่เพิ่มขึ้น ฯลฯ

FAQ คำถามที่พบบ่อย

Q1: ควรทำโฆษณาแบบ Skip หรือ Non-skip ดี?

A: ถ้าคุณมีเรื่องราวที่น่าสนใจและอยากจ่ายเฉพาะผู้ดูตั้งแต่ 30 วินาทีขึ้นไป ให้เลือก TrueView (Skip ได้) แต่ถ้าต้องการให้คนดูทั้งหมดในช่วงสั้น ๆ ใช้ Non-skippable หรือ Bumper Ads ก็ได้

A: ได้ แต่คุณควรสร้างสรรค์ไอเดียที่น่าสนใจ อาจเป็นวิดีโออธิบายสินค้า กราฟิกเคลื่อนไหว หรืออัดด้วยสมาร์ตโฟนคุณภาพดี หาก Content ดีจริงก็สร้าง Impact ได้

A: หากเป้าหมายคือการมีผู้ชมใหม่ตลอดแน่นอน อาจต้องจ่ายอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าวิดีโอคุณ “ไวรัล” เอง หรือมี SEO ดีบน YouTube ก็อาจได้วิวจาก Organic เพิ่มในภายหลัง

 A: เหมาะหากคุณมีงบและเนื้อหาวิดีโอที่เล่าเรื่องสินค้าราคาแพงอย่างมีคุณค่า ช่วยให้ผู้ชมเข้าใจเหตุผลว่าทำไมราคาถึงสูง

A: เริ่มจากงบไม่มากหลักพัน-หลักหมื่นบาทต่อเดือน เพื่อทดลองกลุ่มเป้าหมายและรูปแบบโฆษณา เมื่อเจอสูตรที่ได้ผลดีแล้วค่อยขยาย

สรุป

YouTube Ads เป็นอีกขุมพลังของ Digital Marketing เพราะวิดีโอเป็นสื่อที่ “เล่าเรื่อง” ได้เต็มรูปแบบ เห็นภาพ เสียง และอารมณ์ ทำให้ผู้ชมจดจำแบรนด์ได้ง่าย หากคุณวางกลยุทธ์ชัดเจน ตั้งเป้าหมายเหมาะสม เลือกประเภทโฆษณาถูกต้อง และสร้างเนื้อหาวิดีโอที่กระแทกใจได้ใน 5 วินาทีแรก โอกาสที่วิดีโอจะ ปัง ก็ย่อมสูง

อย่างไรก็ตาม การทำ YouTube Ads ต้องอาศัยการวัดผล ทดลอง และปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา หมั่นตรวจสอบ View Rate, CTR, Conversion รวมถึง Feedback จากผู้ชม หากวิดีโอมีเนื้อหาที่น่าดึงดูดจริง จะเกิดการแชร์และเกิดยอดวิว Organic เพิ่มขึ้นได้อีก ยิ่งถ้าคุณสอดแทรกแนวทาง E-A-T ให้ผู้ชมเห็นความเชี่ยวชาญและความน่าเชื่อถือ แบรนด์ของคุณก็จะเป็นที่จดจำและได้รับความไว้วางใจในระยะยาว