Table of Contents

ในยุคที่ผู้บริโภคหลีกเลี่ยงโฆษณาด้วยการกดข้าม (Skip) หรือใช้โปรแกรมบล็อกโฆษณา (Ad Blocker) มากขึ้น Native Ads กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือการตลาดที่ทรงอิทธิพล เพราะเป็นโฆษณาที่ “ผสาน” เข้าไปกับเนื้อหาเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มได้อย่างเป็นธรรมชาติ (Seamless) จนผู้อ่านไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดโฆษณา

 

ความหมายของ Native Ads

Native Ads หมายถึงโฆษณาที่ออกแบบให้สอดคล้องกับรูปแบบและบริบทของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะการจัดวาง (Layout), สีสัน, ฟอนต์ หรือการเล่าเรื่อง ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาปกติ ซึ่งต่างจากแบนเนอร์โฆษณาทั่วไปที่มักแยกตัวชัดเจน

  • Key Concept  โฆษณาไม่ควร “ตัดความรู้สึก” ของผู้ใช้ แต่ควรผสมผสานเนื้อหาให้กลมกลืน

 

ประเภทหลักของ Native Ads

  1. In-Feed Ads

    • โฆษณาที่ปรากฏในฟีด (Feed) ของแพลตฟอร์ม เช่น Facebook, Instagram, Twitter โดยมีลักษณะเหมือนโพสต์ปกติ เพียงแต่ระบุว่า “Sponsored” หรือ “Promoted”
  2. Recommended / Related Content

    • อยู่ในคอลัมน์ “บทความแนะนำ” หรือ “คุณอาจสนใจ” ซึ่งผู้อ่านอาจคิดว่าเป็นบทความทั่วไป แต่จริง ๆ เป็นโฆษณาที่นำเสนอเนื้อหาหรือบทความที่โปรโมต
  3. Promoted Listings

    • ในเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) อาจมีสินค้า “Promoted” ขึ้นมาเป็นอันดับแรก ๆ ในหน้าค้นหา แต่การออกแบบหน้าตาดูเหมือนผลการค้นหาปกติ
  4. Sponsored Content / Advertorial

    • คอนเทนต์ที่เขียนรูปแบบเดียวกับบทความปกติ แต่มีการบอกว่า “Sponsored by…” หรือ “Advertorial” เน้นให้เนื้อหาน่าสนใจ มีคุณค่า แต่จุดประสงค์คือโฆษณา
  5. Search Ads แบบ Native

    • บางแพลตฟอร์ม search engine เสนอผลการค้นหาบางรายการที่เป็น “Sponsored” แต่หน้าตาคล้ายผลค้นหาปกติ

 

ข้อดี-ข้อเสียของการทำ Native Ads

ข้อดี

  1. Engagement สูง
    • ผู้อ่านมักไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียด เนื้อหากลมกลืนกับบริบท จึงให้ความสนใจมากกว่าแบนเนอร์ทั่วไป
  2. หลีกเลี่ยง Ad Blindness
    • ผู้ใช้อาจชินกับการมองข้ามแบนเนอร์ แต่ Native Ads หลายครั้งสะดุดตาจนผู้อ่านคลิกเพราะอยากรู้
  3. สร้างประสบการณ์ที่ดี
    • ไม่ขัดจังหวะการอ่านหรือการเสพคอนเทนต์เหมือนโฆษณากระโดดขึ้นมากลางจอ

ข้อเสีย

  1. ต้นทุนการผลิตเนื้อหาสูง
    • ต้องใช้ทักษะในการเขียนและออกแบบให้กลมกลืนและมีประโยชน์
  2. ต้องมีกฎเกณฑ์ (Disclosure)
    • ในหลายประเทศมีกฎหมายให้ต้องระบุว่าเป็น “โฆษณา” หรือ “Sponsored” เพื่อความโปร่งใส
  3. ผลลัพธ์ไม่ใช่จะได้ Conversion ทันที
    • Native Ads บางครั้งเป็นการสร้าง Branding หรือ Awareness มากกว่าขายของตรง ๆ

 

เทคนิคสร้างโฆษณาให้อ่านเหมือนเนื้อหา (แต่ยังโปรโมต)

  1. เลือกหัวข้อที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน

    • เช่น ถ้าขายเครื่องครัว เขียนบทความ “เคล็ดลับทำอาหารคลีนง่าย ๆ” แล้วแนะนำผลิตภัณฑ์ในบทความอย่างเป็นธรรมชาติ
  2. เขียนในโทนที่สอดคล้องกับเว็บ/แพลตฟอร์ม

    • ถ้าเว็บนั้นเป็นเว็บข่าว ควรใช้โทนการเขียนที่ให้ความรู้สึกเป็นข่าว หรือบทความเชิงวิเคราะห์
    • ถ้าเป็นเว็บวัยรุ่น ใช้ภาษาเป็นกันเอง
  3. แสดงสิ่งที่พิเศษ

    • เช่น ส่วนลดพิเศษ, ข้อเสนอสำหรับผู้อ่านที่มาจากบทความนี้ ช่วยกระตุ้นให้คนคลิกต่อ
  4. คงความน่าเชื่อถือ (Disclosure)

    • ระบุอย่างชัดเจนว่าเป็น “บทความโปรโมต” หรือ “Sponsored” เพื่อให้ผู้อ่านไม่รู้สึกถูกหลอก
  5. มี Call to Action (CTA)

    • แม้จะเป็นบทความเชิงเนียน แต่ควรใส่ CTA ที่ชัดเจน เช่น ลิงก์ไปยังหน้าสินค้า, ลงทะเบียนรับข้อมูลเพิ่มเติม ฯลฯ

 

ตัวอย่างการนำ Native Ads ไปใช้

  1. Advertorial ในเว็บไซต์สื่อ

    • แบรนด์กาแฟออกคอนเทนต์ในรูปแบบบทความ “เช็กลิสต์วิธีชงกาแฟให้อร่อยเหมือนบาริสต้า” แล้วเนียนสอดแทรกชื่อแบรนด์ และปิดท้ายด้วยการชวนให้คลิกซื้อ
  2. Recommended Posts ในบล็อก

    • ใส่ “You May Also Like” ที่ท้ายบทความ โดยแทรกเนื้อหาโฆษณาหรือลิงก์ไปยัง Landing Page ของสปอนเซอร์
  3. Sponsored Content บน Facebook / Instagram

    • โพสต์ที่มีเนื้อหาสาระ (How-to, Tips) พร้อมภาพหรือวิดีโอสั้น สอดแทรกแบรนด์ และระบุว่าเป็น “Sponsored”
  4. Promoted Listings บน Marketplace

    • สินค้าบางตัวในหมวดเดียวกันถูกดันมาอยู่บนสุดของผลการค้นหา โดยมีป้าย “Sponsored” เล็ก ๆ

 

แนวทาง E-A-T ใน Native Ads

  1. Expertise

    • เนื้อหาควรเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญหรือผ่านการตรวจสอบข้อมูล ตรงประเด็นและเชิงลึก ผู้อ่านควรได้ประโยชน์จริง
  2. Authoritativeness

    • หากกล่าวอ้างอิงสถิติหรือแนวคิด ควรมีลิงก์หรืออ้างถึงแหล่งที่มา เช่น งานวิจัย บทความวิชาการ หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น
  3. Trustworthiness

    • มีการเปิดเผยว่าเป็นเนื้อหา “Sponsored” หรือ “Advertorial” อย่างโปร่งใส
    • ไม่หลอกลวงหรือโอ้อวดเกินจริง มีการใช้รีวิวจากลูกค้าแบบจริงใจ

การแสดง E-A-T ทำให้ผู้อ่านเกิดความสบายใจ ไม่รู้สึกว่าโดน “ปั่นหัว” เพื่อขายของ แม้จะเป็นโฆษณาแต่ถ้าให้ความรู้หรือความบันเทิงที่มีค่า ก็ย่อมได้รับการตอบรับที่ดีกว่า

FAQ คำถามที่พบบ่อย

Q1 Native Ads ต่างจาก Content Marketing ทั่วไปอย่างไร?

 A  Native Ads มักเป็นความร่วมมือกับแพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่โฆษณาในรูปแบบเนียน ๆ ส่วน Content Marketing อาจเป็นเนื้อหาที่คุณผลิตเองในช่องทางของคุณ (Owned Media) เป็นหลัก แต่ทั้งสองแนวคิดมีจุดร่วมคือการสร้างเนื้อหาที่มีค่า ไม่โฆษณาโต้ง ๆ

 A  ไม่ผิดหากคุณทำตามข้อกำหนด เช่น ระบุว่าเป็นโฆษณา (Disclosure) และไม่ให้ข้อมูลเท็จ ในหลายประเทศมีกฎหมายชัดเจนว่าต้องมีข้อความแจ้งเตือนผู้บริโภค

 A  ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มและรูปแบบ บางทีราคาสูงกว่าการซื้อแบนเนอร์เพราะต้องเสียค่าเขียนบทความ/คอนเทนต์ด้วย แต่ Conversion อาจดีกว่าถ้าทำได้ดี

 A  วัดจาก KPI เช่น คลิก (CTR), ระยะเวลาที่ผู้อ่านอยู่ในหน้า (Time on page), การแชร์, Conversion ที่เกิดขึ้นหลังคลิก เขียน UTM Tag ติดตามใน Google Analytics

 A  หากคุณมีทีม Content Writer ที่เชี่ยวชาญก็ทำเองได้ แต่ถ้าต้องการงานคุณภาพสูง ให้สอดคล้องกับสื่อที่ลง อาจจ้างเอเจนซี่หรือมืออาชีพมาช่วย

Native Ads เป็นโฆษณารูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ยุค “Anti-Advertising” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากกลมกลืนและเป็นธรรมชาติเหมือนเนื้อหาจริง ช่วยลดอคติของผู้บริโภคที่ไม่ชอบเห็นโฆษณาฉาบฉวย แต่สิ่งสำคัญคือต้องใส่ใจ Disclosure อย่างโปร่งใส และสร้างสรรค์เนื้อหาที่มีประโยชน์ (Value) ให้คนอ่าน

หากคุณสามารถผลิต Native Ads ที่ตรงกับความสนใจของผู้อ่าน ให้ข้อมูลหรือสาระจริงจัง รวมถึงการรักษามาตรฐาน E-A-T (Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) ก็มีโอกาสสูงที่ผู้อ่านจะคลิก อ่าน และทำตาม Call to Action โดยไม่รู้สึกต่อต้าน นับเป็นทางลัดสู่การเพิ่ม Brand Awareness และยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว