สารบัญ

หากคุณกำลังมองหาโอกาสในการโปรโมตสินค้าและบริการของคุณให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว Google Ads ถือเป็นเครื่องมือที่ไม่ควรพลาด เพราะช่วยให้แบรนด์ของคุณปรากฏต่อสายตาผู้ค้นหาในช่วงเวลาที่พวกเขามีความต้องการมากที่สุด วิธียิงแอด Google Ads ไม่ว่าคุณจะเป็น มือใหม่หัดยิงแอด หรือเจ้าของธุรกิจที่มีประสบการณ์แล้ว ในบทความนี้เราจะพาคุณไปศึกษา Google Ads ทำยังไง ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานจนถึงเทคนิคขั้นสูง พร้อมอธิบายทุกขั้นตอน สอนยิงแอดแบบละเอียด เพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างที่ตั้งใจ

Google Ads คืออะไร?

Google Ads (หรือชื่อเดิม Google AdWords) คือ แพลตฟอร์มโฆษณาออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของ Google ที่อนุญาตให้ผู้ประกอบการหรือบุคคลทั่วไปสร้างโฆษณาเพื่อโปรโมตสินค้า บริการ หรือคอนเทนต์ของตนให้ปรากฏบนหน้าผลการค้นหา (Search Network) และเครือข่ายพันธมิตรของ Google (Display Network) รวมถึง YouTube, Gmail และแอปต่าง ๆ

จุดเด่นของ “โฆษณา Google” อยู่ที่การเจาะจงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียด เช่น กำหนดพื้นที่ ภาษา อุปกรณ์ พฤติกรรม หรือความสนใจ เป็นต้น ระบบการทำงานของ Google Ads ยังใช้รูปแบบประมูล (Auction) ซึ่งผู้ลงโฆษณาจะกำหนด “ราคาเสนอ (Bid)” ต่อการคลิกหรือการแสดงผลตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ และ Google จะใช้ข้อมูลอีกหลายด้าน เช่น คะแนนคุณภาพ (Quality Score) เพื่อจัดอันดับโฆษณาในตำแหน่งที่เหมาะสม

ทำไมต้องยิงแอดด้วย Google Ads?

การทำตลาดออนไลน์ในยุคดิจิทัลมีหลากหลายช่องทาง เช่น Social Media, SEO, Email Marketing ฯลฯ แต่เหตุผลหลัก ๆ ที่คนส่วนใหญ่นิยม ยิงแอด ผ่าน Google Ads มีดังนี้

  1. เข้าถึงลูกค้าในช่วงเวลาที่พวกเขาต้องการมากที่สุด
    เมื่อผู้ใช้ค้นหาคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ แสดงว่าพวกเขามีความสนใจหรือกำลังต้องการหาข้อมูลจริง ๆ การปรากฏอยู่ในหน้าผลการค้นหาในช่วงเวลานี้จึงเพิ่มโอกาสในการขายอย่างมาก
  2. กำหนดงบประมาณตามที่ต้องการได้
    คุณสามารถตั้งงบประมาณรายวันหรือรายเดือนที่ต้องการใช้กับ Google Ads ได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นหลักร้อยหรือหลักหมื่น ก็สามารถเริ่มต้นได้และค่อย ๆ เพิ่มเมื่อเห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
  3. มีข้อมูลวัดผลและวิเคราะห์แบบเรียลไทม์
    ระบบของ Google Ads จะมีแดชบอร์ดที่คอยบอกว่า โฆษณาได้รับจำนวนคลิกเท่าไร มีค่าใช้จ่ายเท่าไร มีอัตราการคลิกผ่าน (CTR) และ Conversion Rate อยู่ที่กี่เปอร์เซ็นต์ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้คุณปรับปรุงการโฆษณาได้อย่างต่อเนื่อง
  4. ปรับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียด
    ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตามสถานที่ อายุ เพศ ความสนใจ เวลาที่ต้องการให้โฆษณาแสดง รวมถึงการทำ Remarketing (ยิงโฆษณาซ้ำ) ให้กับคนที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจในครั้งต่อไป
  5. สร้างการเติบโตอย่างรวดเร็วในระยะสั้น
    ถ้าเทียบกับ SEO ที่ต้องใช้เวลาในการปรับแต่งและรอผลอันดับ “Google Ads” ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นสู่อันดับต้น ๆ ได้ทันทีที่แคมเปญได้รับอนุมัติ จึงเหมาะกับการทำโปรโมชั่นระยะสั้น หรือต้องการผลลัพธ์เร็ว

โครงสร้างของ Google Ads ที่ควรรู้

ก่อนเริ่มสู่ขั้นตอน “Google Ads ทำยังไง” ควรทำความเข้าใจโครงสร้างการทำงานภายในบัญชี Google Ads เสียก่อน เพื่อจัดการแคมเปญ (Campaign) และกลุ่มโฆษณา (Ad Group) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. Account (บัญชี)
    • ระดับสูงสุดคือบัญชีของคุณ ซึ่งใช้ Gmail ในการเข้าสู่ระบบ การตั้งค่าระดับบัญชีคือการกำหนดสกุลเงินและโซนเวลา
  2. Campaign (แคมเปญ)
    • ภายใต้ 1 บัญชี สามารถสร้างแคมเปญได้หลายรายการ แต่ละแคมเปญจะมีการตั้งค่าเป้าหมาย งบประมาณต่อวัน ประเภทโฆษณา (Search, Display, Video, Shopping, App)
  3. Ad Group (กลุ่มโฆษณา)
    • ภายในแคมเปญ สามารถแบ่งกลุ่มโฆษณาออกได้ตามรูปแบบ เช่น แยกตามประเภทสินค้า แต่ละกลุ่มโฆษณาจะมี Keyword หรือ Placement (ตำแหน่งเว็บไซต์) เป็นของตัวเอง
  4. Ads (โฆษณา)
    • ภายใน Ad Group จะประกอบไปด้วย Ads หลายชุดหรือหลายเวอร์ชัน เพื่อทดสอบ (A/B Testing) ว่าโฆษณาเวอร์ชันไหนมี CTR หรือ Conversion ดีกว่า

การเข้าใจโครงสร้างนี้ จะช่วยให้คุณวางแผนและจัดหมวดหมู่แคมเปญได้ง่ายขึ้น และทำให้การจัดสรรงบประมาณเป็นไปอย่างมีระบบ

ประเภทแคมเปญยอดนิยมใน Google Ads

  1. Search Campaign
    • เน้นแสดงโฆษณาในผลการค้นหาของ Google เมื่อผู้ใช้พิมพ์คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
    • เหมาะกับการสร้างยอดขาย เพิ่มทราฟฟิก หรือกระตุ้นการลงทะเบียน เพราะเจาะกลุ่มคนที่ตั้งใจค้นหาอยู่แล้ว
  2. Display Campaign
    • โฆษณาในรูปแบบแบนเนอร์หรือรูปภาพ ปรากฏตามเว็บไซต์พันธมิตรของ Google
    • เหมาะกับการทำ Brand Awareness หรือ Remarketing เพื่อให้คนที่เคยเห็นแบรนด์รู้สึกคุ้นเคย และกระตุ้นให้กลับมาดูสินค้าอีกครั้ง
  3. Video Campaign (YouTube Ads)
    • โฆษณาที่ปรากฏก่อนหรือระหว่างคลิป YouTube หรือในเครือข่าย Display ของ Google
    • เหมาะกับการสร้างการจดจำแบรนด์ (Brand Recall) ผ่านรูปแบบวิดีโอที่น่าสนใจ
  4. Shopping Campaign
    • เหมาะสำหรับร้านค้าออนไลน์ที่ต้องการแสดงสินค้าพร้อมรูปภาพ ราคา ชื่อร้านค้า ในหน้าผลการค้นหา Google
    • เพิ่มโอกาสขายให้กับผู้คนที่ค้นหาสินค้าตามหมวดหมู่ได้ดียิ่งขึ้น
  5. App Campaign
    • สำหรับโปรโมตแอปพลิเคชัน ให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดหรือติดตั้งบนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต
  6. Smart Campaign
    • เหมาะกับมือใหม่ หรือธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการให้ Google จัดการส่วนใหญ่แบบอัตโนมัติ ช่วยตั้งค่าแคมเปญให้โดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่ในบัญชี

สอนยิงแอดแบบละเอียด  ขั้นตอนการสร้างแคมเปญ Google Ads

มาถึงส่วนที่หลายคนรอคอยว่า “Google Ads ทำยังไง” ด้านล่างนี้คือขั้นตอน สอนยิงแอดแบบละเอียด เพื่อให้ มือใหม่ก็ทำตามได้ ตั้งแต่สร้างบัญชีไปจนถึงเปิดใช้งานโฆษณาจริง

ขั้นตอนที่ 1  สร้างบัญชี Google Ads

  1. ไปที่หน้า ads.google.com
  2. ลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Gmail ที่คุณต้องการ
  3. เลือก “สลับไปยังโหมดผู้เชี่ยวชาญ” (Switch to Expert Mode) หาก Google พยายามนำคุณเข้าสู่ Smart Campaign โดยอัตโนมัติ
  4. กำหนดสกุลเงิน (เช่น บาท) และโซนเวลาให้ถูกต้องตั้งแต่เริ่ม เพราะจะแก้ไขภายหลังไม่ได้

ขั้นตอนที่ 2  เลือกประเภทแคมเปญ

  1. เมื่อเข้ามาในหน้าสร้างแคมเปญใหม่ ให้คุณเลือกวัตถุประสงค์หลัก เช่น Sales, Leads, Website Traffic ฯลฯ
  2. จากนั้นเลือกประเภทแคมเปญ เช่น Search Campaign, Display Campaign, หรือ Video Campaign ตามเป้าหมายของคุณ

Tips  สำหรับมือใหม่ที่ต้องการเน้นยอดขายหรือกระตุ้นทราฟฟิก แนะนำให้เริ่มที่ Search Campaign ก่อน เพราะเข้าใจง่ายและวัดผลได้ชัดเจน

ขั้นตอนที่ 3  กำหนดชื่อแคมเปญและตั้งค่าสำคัญ

  1. ตั้งชื่อแคมเปญให้อ่านง่ายและเข้าใจ เช่น “Search_Campaign_โปรโมตเสื้อผ้า”
  2. เลือกเครือข่ายที่ต้องการแสดง (Search Network, Display Network) หากคุณต้องการให้โฆษณาขึ้นเฉพาะหน้าค้นหา สามารถเอาติ๊กออกจาก Display Network ได้
  3. ตั้งค่าพื้นที่เป้าหมาย (Location) เช่น “ประเทศไทย” หรือเจาะจงเมือง/จังหวัดที่คุณต้องการ
  4. เลือกภาษา (Languages) ที่กลุ่มเป้าหมายใช้ เช่น ภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ หากสินค้าเป็นสากล
  5. กำหนดงบประมาณรายวัน (Daily Budget) และกลยุทธ์การประมูล (Bidding Strategy) เช่น Maximize Clicks, Target CPA เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 4  สร้าง Ad Group และเลือกคีย์เวิร์ด

  1. ตั้งชื่อ Ad Group ตามกลุ่มสินค้า/บริการ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการ
  2. ในส่วน Keywords ให้คุณใส่ “Short-tail Keywords” และ “Long-tail Keywords” ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
    • Short-tail เช่น “เสื้อผ้าแฟชั่น”, “รองเท้ากีฬา”
    • Long-tail เช่น “เสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิง ไซซ์ใหญ่ ใส่สบาย”, “รองเท้ากีฬาวิ่งสำหรับมือใหม่ ราคาไม่แพง”
  3. แนะนำให้ใช้เครื่องมือ Google Keyword Planner เพื่อค้นหาปริมาณการค้นหา (Search Volume) และไอเดียคีย์เวิร์ดใหม่ ๆ
  4. อย่าลืมระวัง Keyword Match Types (เช่น Broad, Phrase, Exact) ซึ่งควรเลือกให้เหมาะสมกับเป้าหมายของคุณ หากคุณต้องการความเฉพาะเจาะจงสูง ควรใช้ Phrase Match หรือ Exact Match

ขั้นตอนที่ 5  สร้างข้อความโฆษณา (Ad Copy)

  1. Headline (หัวข้อ)
    • ใส่ประโยคที่กระตุ้นความสนใจหรือระบุจุดขายให้ชัดเจน เช่น โปรโมชั่น, ส่วนลด, ข้อดีของสินค้า
    • ใส่คีย์เวิร์ดหลักเข้าไปในหัวข้อ เพื่อเพิ่มโอกาสที่โฆษณาจะมีคุณภาพสูง (Quality Score ดี)
  2. Description (คำอธิบาย)
    • ขยายความในสิ่งที่คุณเสนอ เช่น สินค้าคุณภาพดี ส่งฟรี มีบริการหลังการขาย ฯลฯ
    • ควรมี Call to Action (CTA) เช่น “ช้อปเลย”, “ติดต่อเราทันที”, “จองด่วน” เพื่อกระตุ้นให้เกิดการคลิก
  3. Display URL และ Final URL
    • Display URL คือ URL ที่ปรากฏในโฆษณาเพื่อให้ดูสวยงาม
    • Final URL คือ URL หน้าที่แท้จริงที่ผู้ใช้จะถูกส่งไป (Landing Page)

ขั้นตอนที่ 6  ตั้งค่า Extensions (ส่วนขยายโฆษณา)

  1. Sitelink Extensions  เพิ่มลิงก์เพิ่มเติมไปยังหน้าสำคัญของเว็บไซต์ เช่น หน้าโปรโมชั่น หน้าเกี่ยวกับเรา หน้ารีวิวลูกค้า
  2. Call Extensions  ใส่เบอร์โทรศัพท์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถกดโทรหาได้ทันที
  3. Location Extensions  ระบุที่ตั้งของร้านค้าหรือสาขา (เชื่อมต่อกับ Google My Business)
  4. Callout Extensions  ใส่ข้อความสั้น ๆ บอกรายละเอียดจุดขายหรือจุดเด่นเพิ่มเติม

Extensions จะช่วยเพิ่มพื้นที่ในการแสดงโฆษณา เพิ่มความน่าสนใจและอัตราการคลิก (CTR)

ขั้นตอนที่ 7  ตรวจสอบและยืนยันการเผยแพร่

  1. ตรวจสอบข้อความโฆษณา คีย์เวิร์ด งบประมาณ และการตั้งค่าทั้งหมดให้เรียบร้อย
  2. เมื่อพร้อมแล้ว กด Publish หรือ Save and Continue
  3. Google จะใช้เวลาตรวจสอบ (Review) โฆษณาเบื้องต้น หากทุกอย่างเป็นไปตามนโยบาย โฆษณาของคุณจะเริ่มแสดงผล

ขั้นตอนที่ 8  ติดตามผลและปรับปรุง

  1. เข้าไปที่หน้า Google Ads Dashboard อย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจสอบสถิติ เช่น จำนวนคลิก, CTR, CPC, Conversion Rate
  2. หาก CTR ต่ำ อาจต้องปรับข้อความโฆษณา หรือเพิ่มคีย์เวิร์ดใหม่ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
  3. หาก Conversion ต่ำ อาจต้องปรับปรุงหน้า Landing Page หรือเพิ่มข้อเสนอให้ดึงดูดขึ้น
  4. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเป็นหัวใจสำคัญของการประสบความสำเร็จใน “การยิงแอด Google”

เทคนิคและเคล็ดลับสำคัญสำหรับมือใหม่

การ สอนยิงแอดแบบละเอียด ยังไม่ครบถ้วนหากขาดเทคนิคและเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและคุ้มค่ากับงบประมาณที่จ่ายไป

  1. แบ่งโครงสร้างแคมเปญให้เป็นระเบียบ
    • หากคุณขายสินค้าหลายประเภท ให้แยกเป็นหลายแคมเปญหรือหลาย Ad Group เพื่อจัดการง่ายและวัดผลได้ชัดเจน
  2. เน้น Long-tail Keywords เพื่อโอกาสในการ Conversion ที่สูง
    • แม้จำนวนการค้นหาจะน้อยกว่า Short-tail แต่ Long-tail มักมีการแข่งขันต่ำ และผู้ค้นหามีเจตนาที่ชัดเจน
  3. ใส่คีย์เวิร์ดในข้อความโฆษณาและ Landing Page
    • การมีคีย์เวิร์ดใน Headline, Description, และหน้า Landing Page ที่สอดคล้องกัน ช่วยให้ Quality Score ดีขึ้น
  4. A/B Testing หรือ Split Test
    • สร้างข้อความโฆษณาหลายเวอร์ชันใน 1 Ad Group แล้วปล่อยให้ Google หมุนเวียนเพื่อดูว่าเวอร์ชันไหน CTR หรือ Conversion ดีกว่า จากนั้นจึงเลือกเวอร์ชันที่ให้ผลดีที่สุด
  5. Remarketing
    • ตั้งค่า Google Ads Remarketing เพื่อติดตามลูกค้าที่เคยเข้าชมเว็บไซต์แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อ กระตุ้นให้กลับมา
  6. ตั้งค่าการติดตาม Conversion ให้ถูกต้อง
    • การวัด Conversion (เช่น ซื้อสินค้า, ลงทะเบียน, กรอกฟอร์ม) จะช่วยให้คุณทราบว่าคีย์เวิร์ดหรือโฆษณาไหนสร้างยอดขายได้จริง
  7. ปรับกลยุทธ์ Bidding ให้เหมาะสมกับเป้าหมาย
    • หากต้องการเพิ่มคลิก ให้เลือก Maximize Clicks หรือ Manual CPC
    • หากมีข้อมูล Conversion แล้ว และต้องการ ROI ที่ชัดเจน ให้เลือก Target CPA หรือ Target ROAS
  8. ใช้ Google Analytics ร่วมด้วย
    • เชื่อมโยงบัญชี Google Ads เข้ากับ Google Analytics เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์ได้ลึกขึ้น เช่น ดูว่าหน้าไหนคนอยู่ได้นาน หน้าไหน Bounce Rate สูง ฯลฯ

ข้อผิดพลาดที่มือใหม่ควรหลีกเลี่ยง

นอกจากเทคนิคดี ๆ แล้ว มือใหม่อาจเจอข้อผิดพลาดบ่อย ๆ ซึ่งควรหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้เสียเวลาและงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์

  1. การใส่คีย์เวิร์ดมากเกินไปใน Ad Group เดียว
    • ควรโฟกัสกลุ่มคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกันเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะยากต่อการเขียนข้อความโฆษณาให้เจาะจง
  2. ละเลยหน้า Landing Page
    • แม้โฆษณาดี แต่หน้า Landing Page โหลดช้า หรือไม่ตอบโจทย์ จะทำให้คนออกจากหน้าเว็บไซต์ทันที สุดท้ายเสียคลิกไปฟรี ๆ
  3. ไม่วิเคราะห์ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
    • บางคนยิงแอดแล้วปล่อยทิ้ง ไม่ได้เข้ามาดูผลลัพธ์ หากโฆษณาไม่ดี จะเปลืองงบประมาณไม่รู้ตัว
  4. ตั้งค่า Bidding Strategy ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
    • เช่น หากต้องการขายสินค้า ไม่ควรเลือกกลยุทธ์ที่โฟกัสแค่ยอดคลิก เพราะยอดคลิกสูงไม่ได้หมายความว่าจะมียอดขาย
  5. ลืมเชื่อมต่อ Conversion Tracking
    • เมื่อไม่ตั้งค่าการวัด Conversion จะไม่รู้ว่าโฆษณาหรือคีย์เวิร์ดไหนทำงานได้ดี การปรับปรุงจึงเป็นเพียงการคาดเดา

การผสาน Google Ads กับเครื่องมือการตลาดอื่น ๆ

แม้ว่า “การยิงแอด Google” จะเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยม แต่เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด คุณควรผสาน Google Ads เข้ากับกลยุทธ์การตลาดอื่น ๆ เช่น

  • SEO (Search Engine Optimization)  หากเว็บของคุณติดอันดับการค้นหาแบบธรรมชาติได้ด้วย ก็ยิ่งช่วยประหยัดค่าโฆษณาในระยะยาว
  • Social Media Marketing  โปรโมตโฆษณาใน Facebook, Instagram, TikTok ควบคู่เพื่อสร้างการรับรู้หลายช่องทาง
  • Content Marketing  สร้างบทความหรือวิดีโอคุณภาพ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าและสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์
  • Email Marketing  เก็บอีเมลลูกค้าเพื่อติดต่อหรือส่งโปรโมชันในอนาคต

FAQ  คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Google Ads

Q เริ่มยิงแอดต้องใช้งบเท่าไร?

A  ไม่มีขั้นต่ำอย่างเป็นทางการจาก Google คุณสามารถตั้งงบรายวันได้ตามต้องการ เช่น 100 บาท 200 บาท หรือ 1,000 บาท แต่ควรตั้งให้สอดคล้องกับเป้าหมาย เช่น หากต้องการเก็บข้อมูลไว ๆ เพื่อปรับโฆษณา การตั้งงบที่ต่ำมากอาจได้ข้อมูลช้า

A  ส่วนใหญ่จะเห็นผลค่อนข้างเร็ว เมื่อโฆษณาผ่านการตรวจสอบและเริ่มรัน คุณอาจเริ่มเห็นคลิกหรือยอด Conversion ภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มคีย์เวิร์ดและงบประมาณด้วย

A  หากคุณต้องการยิงแอดเพื่อกระตุ้นยอดขายหรือยอดลงทะเบียน (Leads) และเน้นเข้าถึงคนที่กำลังค้นหาสินค้า/บริการอยู่แล้ว Search Campaign อาจเหมาะที่สุด ในขณะที่ Display Campaign เหมาะกับการสร้าง Brand Awareness หรือทำ Remarketing

A  อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น งบรายวันหมด, คะแนนคุณภาพต่ำ, ตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายผิด, หรืออยู่ในช่วงตรวจสอบโฆษณา ฯลฯ ควรตรวจสอบแดชบอร์ดอย่างละเอียด

A  คุณสามารถเริ่มต้นด้วย Manual CPC เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายต่อคลิกได้ด้วยตนเอง และปรับขึ้น/ลงตามผลลัพธ์ที่ได้ หรือจะใช้ Maximize Clicks หากเป้าหมายคือการเพิ่มจำนวนคลิกในงบที่กำหนด

A  ถึงจะไม่จำเป็น “ต้องทำ” แต่ถ้าทำควบคู่กันจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในระยะยาว Google Ads เหมาะกับการเพิ่มทราฟฟิกและยอดขายทันที ส่วน SEO จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและประหยัดค่าโฆษณาในอนาคต

A  ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของลูกค้า หากลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนทำงานกลางวัน อาจตั้งให้โฆษณาทำงาน 8.00-20.00 น. เพื่อประหยัดงบ หากกลุ่มเป้าหมายคือคนที่ชอบซื้อของตอนดึก คุณอาจปล่อยโฆษณา 24 ชั่วโมง

A  แนะนำให้มีอย่างน้อย 2-3 ชุดขึ้นไป เพื่อทดสอบว่าเวอร์ชันไหนได้ CTR หรือ Conversion ดีกว่า แล้วค่อยปรับใช้หรือปรับปรุงต่อ

A  หากคุณเป็นมือใหม่ ควรเช็กทุกวันในช่วงแรก ๆ เพื่อปรับคีย์เวิร์ด ข้อความโฆษณา และงบประมาณให้เหมาะสม หลังจากทุกอย่างเริ่มนิ่งแล้ว อาจลดเหลือสัปดาห์ละครั้งหรือเดือนละครั้ง

A  ไม่มีใครดีกว่าใคร 100% ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการเข้าหาคนที่ “สนใจค้นหา” (Google Ads) หรือคนที่ “อาจสนใจ” ตามพฤติกรรมและความสนใจ (Facebook Ads) หากต้องการครอบคลุมทุกด้านก็สามารถทำคู่กันได้

แหล่งอ้างอิงข้อมูล

  • Google Ads Help Center  ศูนย์ช่วยเหลืออย่างเป็นทางการของ Google Ads
  • Google Ads – Official Website  เว็บไซต์สร้างและจัดการแคมเปญ Google Ads
  • Google Analytics Help Center  แหล่งข้อมูลการวัดผลและวิเคราะห์ผู้เข้าชมเว็บไซต์

สรุปส่งท้าย

การเรียนรู้ “Google Ads ทำยังไง” และการนำไปปฏิบัติจริงไม่ได้ยากเกินกว่าที่ มือใหม่ก็ทำตามได้ สิ่งสำคัญคือความเข้าใจพื้นฐานของโครงสร้างแคมเปญ การเลือกประเภทโฆษณาที่ตอบโจทย์ เป้าหมายทางการตลาด และการตรวจสอบผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับปรุง เมื่อคุณวางโครงสร้างให้ดี ใส่คีย์เวิร์ดเหมาะสม เขียนข้อความโฆษณาน่าสนใจ และมี Landing Page ที่ตอบโจทย์ลูกค้า คุณจะพบว่าการ “สอนยิงแอดแบบละเอียด” ในบทความนี้สามารถสร้างยอดขายและขยายธุรกิจได้อย่างก้าวกระโดด

อย่าลืมว่า “ความสำเร็จต้องอาศัยการทดสอบและปรับตัว” จงเรียนรู้จากข้อมูลจริงที่ได้ แล้วนำมาปรับใช้ในแคมเปญครั้งต่อไป หากคุณพร้อมแล้วก็ลงมือสร้างแคมเปญแรกของคุณได้เลย แล้วประตูสู่การตลาดออนไลน์ที่ทรงพลังผ่าน Google Ads จะเปิดกว้างต้อนรับคุณเสมอ!