
สารบัญ
เมื่อเราพูดถึง “การทำโฆษณาออนไลน์” หนึ่งในแพลตฟอร์มยอดนิยมที่เจ้าของธุรกิจและนักการตลาดต้องคำนึงถึงก็คือ Google Ads หรือที่เคยเรียกว่า Google AdWords อย่างไรก็ตาม มือใหม่หลายคนอาจยังสงสัยว่า “Google Ads จ่ายเงินยังไง?” และต้องบริหารจัดการงบประมาณโฆษณาอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด
บทความนี้จะมาไขทุกข้อข้องใจ ตั้งแต่ระบบการชำระเงินของ โฆษณา Google แบบอัตโนมัติและแบบกำหนดเองGoogle Ads คืออะไร การตั้งค่างบประมาณ (Budget) รายวันหรือรายเดือน รวมไปถึงเทคนิคในการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณ “ยิงแอด” แล้วเห็นผลลัพธ์ ตรงเป้าหมาย และไม่ต้องกังวลเรื่องงบประมาณบานปลาย
ทำความเข้าใจระบบการจ่ายเงินใน Google Ads
Google Ads ใช้รูปแบบการประมูล (Auction) โดยคุณจะถูกเรียกเก็บเงินก็ต่อเมื่อมีการ คลิก (Cost Per Click CPC) หรือเกิด Conversion (Cost Per Acquisition CPA) หรือรูปแบบอื่น ๆ ตามที่คุณตั้งค่าไว้ การคำนวณค่าใช้จ่ายจึงโปร่งใสและสามารถวัดประสิทธิผลได้จริง
- Cost Per Click (CPC) ระบบคิดเงินเมื่อมีคนคลิกโฆษณาเท่านั้น
- Cost Per Thousand Impressions (CPM) ระบบคิดเงินตามจำนวนการแสดงผล (1,000 ครั้ง ต่อ 1 การคิดเงิน)
- Cost Per Acquisition (CPA) ระบบโฟกัสไปที่การจ่ายตามจำนวน Conversion หรือการกระทำที่คุณต้องการ เช่น การสั่งซื้อหรือกรอกฟอร์ม
การ “ตั้งค่างบประมาณ Google Ads” ยังทำได้อย่างยืดหยุ่น คุณสามารถกำหนดได้ว่าอยากใช้เงินประมาณเท่าใดต่อวัน หรือจะตั้งเป็นงบประมาณรายเดือนแบบคร่าว ๆ แล้วให้ Google ช่วยกระจายเองก็ได้
รูปแบบการชำระเงิน Automatic Payment vs. Manual Payment
ใน “Google Ads จ่ายเงินยังไง?” คำตอบที่แท้จริงขึ้นอยู่กับรูปแบบการชำระเงินที่คุณเลือกใช้งาน โดยหลัก ๆ มีอยู่ 2 แบบ คือ Automatic Payment และ Manual Payment (ในบางประเทศหรือบางบัญชีอาจมีตัวเลือกแตกต่างกันออกไปตามนโยบาย)
Automatic Payment (การชำระเงินอัตโนมัติ)
- ทำงานอย่างไร?
- คุณจะผูกบัตรเครดิต / บัตรเดบิต หรือบัญชีธนาคารไว้ในระบบ
- Google จะเรียกเก็บเงินจากบัตรหรือบัญชีเมื่อโฆษณารันไปถึง “Payment Threshold” หรือตามรอบบิลที่กำหนด
- ข้อดี
- สะดวก ไม่ต้องเติมเงินล่วงหน้า
- โฆษณารันต่อเนื่องไม่สะดุด เพราะระบบตัดเงินอัตโนมัติ
- ข้อเสีย
- ถ้าไม่บริหารงบให้ดี อาจจ่ายเกินกว่าที่วางแผนไว้
- จำเป็นต้องมีบัตรหรือบัญชีที่พร้อมให้ตัดเงิน
Manual Payment (การชำระเงินด้วยตนเอง)
- ทำงานอย่างไร?
- คุณจะต้องฝากเงินเข้าไปในบัญชี Google Ads ก่อน (Prepaid)
- เมื่อมียอดค่าโฆษณาเกิดขึ้น ระบบจะหักจากยอดคงเหลืออัตโนมัติ
- ข้อดี
- ควบคุมงบได้ง่าย เพราะมีเงินเท่าไรก็ใช้เท่านั้น
- เหมาะกับผู้ที่ไม่สะดวกใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต
- ข้อเสีย
- ถ้าเงินในบัญชีหมด แคมเปญอาจหยุดแสดงโฆษณาทันที
- ต้องคอยเติมเงินเรื่อย ๆ ไม่สะดวกหากมีหลายแคมเปญขนาดใหญ่
Tips เลือกวิธีการชำระเงินที่สอดคล้องกับรูปแบบธุรกิจและความสะดวกของคุณ ถ้ามีบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตพร้อม และต้องการรันโฆษณาอย่างต่อเนื่อง Automatic Payment ก็เป็นตัวเลือกที่ดี ในขณะที่ Manual Payment เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมรายจ่ายอย่างเข้มงวด
เทคนิคตั้งค่างบประมาณ (Budget) ให้คุ้มค่า
- กำหนดงบประมาณรายวัน (Daily Budget)
- นี่คือวิธีเบสิกที่สุดที่หลายธุรกิจใช้ คุณสามารถตั้งงบรายวันได้ตามต้องการ เช่น วันละ 300 บาท, 500 บาท หรือ 1,000 บาท
- Google อาจใช้เงินมากกว่าที่กำหนดนิดหน่อยในบางวัน แต่จะไม่เกินงบเฉลี่ยรายเดือนโดยรวม
- ตั้งค่า Shared Budget
- เป็นการนำงบประมาณก้อนเดียวมาแชร์ให้หลายแคมเปญ ใช้กรณีที่มีแคมเปญย่อยหลายตัว แต่ไม่อยากบริหารงบละเอียดเป็นตัว ๆ
- ช่วยให้ระบบกระจายงบไปยังแคมเปญที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่า
- เริ่มต้นงบประมาณต่ำ แล้วค่อยเพิ่ม
- ถ้าคุณเพิ่งเริ่ม “ยิงแอด” และยังไม่แน่ใจว่าผลลัพธ์จะออกมาในทิศทางไหน ควรเริ่มด้วยงบเล็ก ๆ ก่อน แล้วดูผลลัพธ์ เช่น ค่า CTR, CPC, Conversion Rate
- ถ้าผลเป็นที่น่าพอใจ จึงค่อยเพิ่มงบเพื่อขยายผล
- ปรับงบตามเวลา (Ad Scheduling)
- หากคุณรู้ว่าลูกค้านิยมค้นหาสินค้าคุณในบางช่วงเวลา เช่น ช่วงเย็นหรือค่ำ คุณสามารถเพิ่มงบช่วงนั้น และลดหรือตัดช่วงที่ไม่ค่อยมี Conversion เพื่อใช้เงินให้คุ้มค่าที่สุด
วิธีบริหาร Bidding Strategy ช่วยประหยัดงบ
การตั้งค่างบประมาณจะได้ผลดีขึ้น หากคุณรู้จักเลือก Bidding Strategy ที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการตลาด
- Manual CPC (Cost Per Click)
- คุณกำหนดราคา Bid เองต่อคลิก เช่น 5 บาทต่อคลิก หากระบบเห็นโอกาสที่ Conversion จะดีก็อาจปรับเล็กน้อย (ถ้าเปิดฟังก์ชัน Enhanced CPC)
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมรายจ่ายต่อคลิกอย่างละเอียด
- Maximize Clicks
- ปล่อยให้ Google จัดการราคา Bid ให้เพื่อได้คลิกมากที่สุดภายใต้งบที่กำหนด
- เหมาะกับการสร้างทราฟฟิกเข้าเว็บไซต์ แต่ต้องคอยตรวจสอบไม่ให้ได้คลิกที่ไม่ตรงเป้าหมาย
- Target CPA (Cost Per Acquisition)
- เหมาะกับคนที่มีข้อมูล Conversion เพียงพอ และอยากจ่ายเงินเฉลี่ยต่อ 1 Conversion ในราคาไม่เกินที่กำหนด
- ระบบจะพยายามหาคลิกที่มีแนวโน้มสูงจะเปลี่ยนเป็นลูกค้า ตาม Target CPA ที่ตั้งไว้
- Target ROAS (Return on Ad Spend)
- ถ้าคุณขายสินค้าผ่านเว็บไซต์และสามารถวัดยอดขายชัดเจน การตั้งเป้า ROAS (เช่น ต้องการคืนทุนโฆษณา 300%) ก็จะช่วยเน้นโฆษณาไปที่ผู้มีโอกาสซื้อสูงเป็นหลัก
ตรวจสอบ Billing & Payments ใน Google Ads Dashboard
ในเมนู Billing & Payments ของบัญชี Google Ads คุณสามารถ
- ดูประวัติการเรียกเก็บเงิน (Transaction History) ว่ามียอดใช้จ่ายล่าสุดเท่าไร
- ตั้งค่าบัตรเครดิต / บัตรเดบิต / บัญชีธนาคาร สำหรับการชำระเงินอัตโนมัติ
- จัดการ Payment Threshold (กรณีใช้ Automatic Payment)
- ดูยอดคงเหลือ (สำหรับผู้ที่ใช้ Manual Payment)
- ขอใบแจ้งหนี้หรือใบกำกับภาษี ในรูปแบบดิจิทัลเพื่อนำไปใช้ในงานเอกสารบริษัท
การเข้ามาตรวจสอบเป็นระยะ ๆ จะช่วยให้คุณเห็นแนวโน้มการใช้เงิน ถ้าตัวเลขเริ่มพุ่งสูงเกินคาด คุณจะได้ปรับกลยุทธ์โฆษณาหรือคีย์เวิร์ดได้ทัน
คำแนะนำเกี่ยวกับการตั้ง Payment Threshold
Payment Threshold คือเกณฑ์ที่เมื่อยอดใช้จ่ายถึง ระบบจะทำการเรียกเก็บเงินจากบัตรเครดิต / เดบิต (ในกรณี Automatic Payment) แบบอัตโนมัติ โดยปกติแล้ว Google จะตั้ง Threshold เริ่มต้นไว้ต่ำ ๆ เช่น 1,500 บาท (ตัวเลขสมมติ) และจะปรับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากคุณยิงแอดอย่างต่อเนื่องและมีประวัติการชำระเงินที่ดี
ข้อดีของ Payment Threshold
- ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินทันทีเมื่อมีคนคลิกครั้งแรก ระบบจะรอจนยอดใช้จ่ายถึงเกณฑ์หรือถึงรอบบิล
- ช่วยให้ผู้ลงโฆษณามั่นใจว่า Google จะไม่เรียกเก็บเงินเล็กน้อยหลาย ๆ ครั้ง
ข้อควรระวัง
- หาก Threshold สูงและยอดใช้จ่ายโฆษณามาก อาจถูกเรียกเก็บเงินก้อนใหญ่ทีเดียว
- ควรตั้งค่าแจ้งเตือน (Notifications) เพื่อป้องกันการลืมโฆษณาค้างไว้แล้วบิลพุ่งเกินคาด
ติดตามผลและปรับปรุงแคมเปญด้วย ROI
การ “ตั้งค่างบประมาณ Google Ads” ให้ได้ผลคุ้มค่าสูงสุดนั้น ไม่ได้จบแค่การจ่ายเงินอย่างไร แต่ยังต้องวัดผลลัพธ์เพื่อนำมาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
- เชื่อม Google Ads กับ Google Analytics
- ดูการเดินทางของผู้ใช้หลังคลิกโฆษณา ว่าเข้ามาแล้วออกทันทีหรือเปล่า กดซื้อสินค้าหรือไม่
- ใช้เครื่องมือ E-commerce Tracking หากคุณขายของออนไลน์
- วัด Conversion และ ROI/ROAS
- หากคุณลงทุนกับโฆษณา 5,000 บาทต่อเดือน แล้วได้ยอดขายกลับมา 25,000 บาท เท่ากับ ROAS = 500% (หรือ ROI เท่ากับกำไรสุทธิหักต้นทุนอื่น ๆ)
- หาก ROI ยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน (Break-even Point) อาจต้องปรับปรุงคีย์เวิร์ด, โฆษณา, หรือหน้า Landing Page
- ทดสอบ A/B Testing
- สร้าง Ad Copies หลายแบบ แบ่งงบประมาณเพื่อทดลองหัวข้อ (Headline), คำอธิบาย (Description), รูปภาพ (Display Ads) หรือหน้า Landing Page ที่ต่างกัน
- เก็บข้อมูลว่าสูตรไหนสร้าง Conversion ในต้นทุนที่ถูกกว่า แล้วเน้นใช้สูตรนั้น
- ปรับปรุง Bidding และ Negative Keywords
- ถ้าพบว่าบางคำค้นหา (Search Terms) ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ให้ใส่เป็น Negative Keywords เพื่อตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
- ถ้าพบว่าคีย์เวิร์ดไหนแม่นยำและให้ Conversion สูง อาจเพิ่ม Bid หรือปรับเป็น Exact Match เพื่อโฟกัสให้เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น
FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการจ่ายเงินและตั้งงบใน Google Ads
Q1 เริ่มยิงแอด Google Ads ควรเตรียมเงินเท่าไร?
A1 ไม่มีขั้นต่ำจาก Google คุณสามารถเริ่มตั้งแต่หลักร้อยบาทต่อวัน และค่อยเพิ่มตามผลลัพธ์ หากยังเป็นมือใหม่และไม่แน่ใจในตลาด แนะนำให้เริ่มจากงบเล็ก ๆ แล้วศึกษา CTR, CPC, และ Conversion เสียก่อน
Q2 Google Ads จ่ายเงินยังไง? ถ้าไม่มีบัตรเครดิตทำอย่างไร?
A2 คุณสามารถใช้ Manual Payment โดยการโอนเงินเข้าบัญชี Google Ads ล่วงหน้า หรือตรวจสอบว่าในประเทศของคุณมีช่องทางอื่นรองรับ (เช่น บัตรเดบิต, โอนผ่านธนาคาร, e-Wallet) หรือไม่
Q3 ระบบจะตัดเงินบ่อยแค่ไหนถ้าใช้ Automatic Payment?
A3 ระบบจะตัดเงินเมื่อยอดค่าโฆษณาถึง Payment Threshold หรือครบกำหนดรอบบิล (เช่น ทุก ๆ 30 วัน) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้จ่ายถึงเกณฑ์ก่อนหรือถึงวันเรียกเก็บก่อน
Q4 ต้องตั้งค่า Bidding Strategy แบบไหนถึงจะคุ้มที่สุด?
A4 ไม่มีสูตรตายตัว ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ถ้าเน้น Conversion และมีข้อมูลมากพอ Target CPA หรือ Target ROAS เหมาะ แต่ถ้าอยากควบคุม CPC ด้วยตนเอง Manual CPC ก็เป็นตัวเลือกที่ดี
Q5 ทำไมบางวันยอดใช้จ่ายเกินกว่างบ Daily Budget ที่ตั้งไว้?
A5 Google อาจใช้ “Overdelivery” ในบางวัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายรายเดือนโดยรวม แต่จะไม่เกิน 2 เท่าของงบประมาณรายวัน และยอดรวมสิ้นเดือนไม่เกินงบที่คุณตั้ง
Q6 ควรตั้งค่าการแจ้งเตือน (Notifications) ยังไงดี?
A6 คุณสามารถตั้งแจ้งเตือนได้ทั้งเมื่อยอดใช้จ่ายถึงเกณฑ์ เมื่อแคมเปญงบเกือบหมด หรือเมื่อโฆษณาถูกปฏิเสธ เพื่อให้ทันต่อการแก้ไขและป้องกันการใช้เงินเกินความจำเป็น
Q7 ควรดูแลแคมเปญบ่อยแค่ไหน?
A7 ช่วงแรกควรดูแลทุกวันหรือหลายครั้งต่อสัปดาห์ เมื่อแคมเปญนิ่งแล้ว อาจลดเหลือสัปดาห์ละครั้งหรือเดือนละครั้ง แต่ควรติดตาม Conversion และงบประมาณอย่างสม่ำเสมอ
Q8 ยิงแอด Google แล้วต้องจ่ายภาษีอะไรหรือไม่?
A8 ปกติในใบแจ้งยอดค่าโฆษณาจะมีข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แสดงเอาไว้ คุณอาจใช้เป็นหลักฐานประกอบการทำบัญชีในธุรกิจได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกฎหมายของประเทศที่คุณจดทะเบียนธุรกิจ
Q9 จำเป็นต้องขอใบกำกับภาษี (Tax Invoice) จาก Google ไหม?
A9 หากธุรกิจคุณต้องการตัดค่าใช้จ่าย คุณสามารถดาวน์โหลดใบแจ้งยอด (Statement) หรือใบกำกับภาษี (Tax Invoice) อิเล็กทรอนิกส์จากหน้า Billing & Payments ได้
Q10 ถ้างบหมดในระบบ Manual Payment แล้ว โฆษณาจะเป็นอย่างไร?
A10 เมื่อยอดคงเหลือในบัญชีถึงศูนย์ แคมเปญทั้งหมดจะหยุดแสดงทันที จนกว่าคุณจะเติมเงินเข้ามาใหม่
แหล่งอ้างอิงข้อมูล
- Google Ads Help Center ศูนย์ช่วยเหลืออย่างเป็นทางการของ Google Ads
- Google Ads – Billing & Payments เอกสารเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินและการชำระเงิน
- Search Engine Journal เว็บไซต์ให้ความรู้ด้านการตลาดออนไลน์และ PPC
บทสรุปส่งท้าย
การทำ โฆษณา Google ให้ได้ผลดีไม่ใช่แค่เลือกคีย์เวิร์ดหรือเขียน Ad Copy ให้ดึงดูดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพด้วย หากคุณเข้าใจว่า “Google Ads จ่ายเงินยังไง” และสามารถ “ตั้งค่างบประมาณ Google Ads” ให้เหมาะสม ตลอดจนเลือก Bidding Strategy ที่ตอบโจทย์ธุรกิจ คุณจะมีโอกาสสร้าง ROI ได้สูง ในขณะที่ยังควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
อย่าลืมตรวจสอบการเรียกเก็บเงิน (Billing & Payments) อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็น Automatic Payment หรือ Manual Payment ก็มีทั้งจุดเด่นและจุดด้อยต่างกันไป ที่สำคัญคือการติดตามผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง ปรับปรุงคีย์เวิร์ด ข้อความโฆษณา และหน้า Landing Page เพื่อให้เงินทุกบาทที่จ่ายไป คุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่ได้รับ
เมื่อคุณผสาน “วิธีจ่ายเงินแบบคุ้มค่า” เข้ากับ “เทคนิคยิงแอด” และ “การตลาดดิจิทัล” อื่น ๆ ได้อย่างลงตัว ก็ถึงเวลาที่ Google Ads จะกลายเป็นเครื่องมือเพิ่มยอดขาย และขยายธุรกิจของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงกลุ่มเป้าหมาย และ “ไม่เสียเงินเปล่า!” อีกต่อไป