การทำ SEO, วิธีทำ SEO, เอเจนซี่ SEO, เทคนิคทำ SEO

SEO และความสำคัญของการติดหน้าแรก

วิธีทำ SEO ให้ติดหน้าแรก คือการใช้คำหลักที่ผู้คนค้นหาในเครื่องมือค้นหาเพื่อช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏบนผลการค้นหาที่เกี่ยวข้อง และการปรับปรุงโครงสร้างและเนื้อหาของเว็บไซต์เพื่อเพิ่มความสำคัญและความเชื่อถือของเว็บไซต์ของคุณ การติดอันดับในหน้าแรกของผลการค้นหามีความสำคัญมาก เนื่องจากผู้ใช้ส่วนใหญ่จะคลิกที่ลิงก์ที่ปรากฏในหน้าแรก ซึ่งเพิ่มโอกาสในการเข้าชมและการทำธุรกิจของคุณได้เป็นอย่างมาก 

วิธีทำ SEO ให้ติดหน้าแรก ของการค้นหา

SEO คืออะไร  (Search Engine Optimization) คือการให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาหน้าแรกใน Google ซึ่งต้องมีการวางแผนและปฏิบัติการอย่างเป็นระบบ 

การทำ seo เริ่มจากการค้นคว้าคำค้นหาที่ผู้ใช้งานมักจะใช้ (Keyword Research) และนำคำค้นหาเหล่านั้นมาใช้ในเนื้อหาเว็บไซต์อย่างเหมาะสม 

จากนั้นต้องทำการปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับการค้นหาของ Search Engine เช่น การปรับปรุง Meta Tags, URL, และการเชื่อมโยงภายใน (Internal Linking) 

นอกจากนี้ยังต้องเน้นการสร้างเนื้อหาคุณภาพที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน และการสร้าง Backlinks จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ

รู้จัก Search Engine คืออะไร

Search Engine คือ ระบบค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ใช้งานค้นหาข้อมูลที่ต้องการ เช่น Google, Bing, Yahoo โดย Search Engine จะใช้โปรแกรมที่เรียกว่า Crawlers หรือ Spiders ในการเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ และจัดเก็บข้อมูลเหล่านั้นในฐานข้อมูล จากนั้นจะใช้ Algorithm ในการประมวลผลและจัดอันดับผลการค้นหาตามความเหมาะสมและความเกี่ยวข้องของเนื้อหากับคำค้นหาที่ผู้ใช้งานกรอกข้อมูล 

Search Engine กับการทำ SEO สำคัญอย่างไร

การทำ SEO นั้นคือการปรับปรุงและปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้เหมาะสมกับการค้นหาของ Search Engine โดยเน้นการปรับปรุงเนื้อหา โครงสร้าง และการสร้างลิงก์ที่มีคุณภาพ เพื่อให้ Search Engine สามารถอ่านและประมวลผลข้อมูลได้ง่ายและถูกต้องมากขึ้น 

ซึ่งจะส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสติดอันดับการค้นหาที่ดีขึ้น นอกจากนี้ การทำ SEO ยังช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชมเว็บไซต์ ทำให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับในสายตาของผู้ใช้และ Search Engine

ส่วนประกอบของเว็บไซต์ตามพื้นฐาน HTML

หลักๆ แล้วจะมีอยู่ 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่

  • Header
    ส่วนที่อยู่ด้านบนสุดของหน้าเว็บไซต์ ซึ่งมักจะแสดงชื่อเว็บไซต์ โลโก้ แถบเมนูที่ใช้สำหรับนำทางไปยังส่วนต่างๆ ของเว็บไซต์ นอกจากนี้อาจมีข้อมูลเพิ่มเติมเช่น ข้อมูลการเข้าสู่ระบบ หรือปุ่มค้นหา
  • Body
    เป็นส่วนสำหรับใส่เนื้อหาหลักของเว็บไซต์ ซึ่งรวมถึงตัวหนังสือ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว วิดีโอ และคอนเทนต์อื่นๆ ที่ต้องการนำเสนอแก่ผู้ใช้ ส่วนนี้จะเป็นที่รวมข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์ต้องการทราบ
  • Footer
    ส่วนที่อยู่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บไซต์ ซึ่งมักจะประกอบด้วยข้อมูลการติดต่อ ลิงก์เมนูสำหรับนำทางไปยังส่วนต่างๆ ของเว็บไซต์ นโยบายความเป็นส่วนตัว ลิขสิทธิ์ และข้อมูลอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ใช้

การจัดวางและออกแบบแต่ละส่วนของเว็บไซต์ให้มีความชัดเจนและใช้งานง่ายจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์

วิธีทำให้ Search Engine เข้ามาจับข้อมูลในเว็บไซต์

เพื่อให้ Search Engine เข้ามาจับข้อมูลในเว็บไซต์ของคุณ คุณต้องทำการสร้างและส่ง Sitemap ที่อัปเดตเสมอเพื่อช่วยให้ Search Engine สามารถเข้าถึงหน้าเพจทั้งหมดได้ นอกจากนี้ต้องตรวจสอบว่าเว็บไซต์ไม่มีปัญหาเรื่อง Robots.txt ที่ขัดขวางการเข้าถึงของ Search Engine รวมถึงการใช้ Meta Tags ที่เหมาะสม การสร้างลิงก์ภายใน (Internal Links) ที่เชื่อมโยงหน้าเพจต่างๆ ในเว็บไซต์ให้เป็นระบบ และการตรวจสอบความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ เนื่องจาก Search Engine มักจะให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่โหลดได้รวดเร็ว

เกร็ดความรู้

robots.txt คือไฟล์ที่ใช้เพื่อจัดการการเข้าถึงของเว็บครอว์เลอร์ (web crawlers) หรือบอทที่เข้ามาสแกนเว็บไซต์ของคุณ ไฟล์นี้เป็นส่วนหนึ่งของโปรโตคอลมาตรฐานที่เรียกว่า “Robots Exclusion Protocol” ซึ่งจะบอกเว็บครอว์เลอร์ว่าพื้นที่ใดบ้างในเว็บไซต์ที่สามารถหรือไม่สามารถเข้าถึงได้

ไฟล์ robots.txt มักจะวางไว้ที่รากของเว็บไซต์ (เช่น http://www.yourwebsite.com/robots.txt) และมีรูปแบบที่ง่ายๆ ประกอบด้วยบรรทัดที่ระบุถึง “user-agent” (เพื่อระบุว่าเป็นบอทตัวไหน) และ “disallow” (เพื่อระบุส่วนที่ไม่ให้เข้าถึง)

ตัวอย่างไฟล์ robots.txt:

User-agent: *

Disallow: /private/

ในตัวอย่างนี้ บรรทัด User-agent: * หมายความว่าใช้กับบอททุกประเภท และบรรทัด Disallow: /private/ หมายความว่าห้ามบอทเข้าถึงโฟลเดอร์ /private/

ไฟล์ robots.txt ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถควบคุมการเข้าถึงของบอทต่างๆ เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัว หรือลดภาระการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่จำเป็น

Schema Markup ตัวช่วยที่ทำให้เว็บของคุณติดการค้นหาง่ายขึ้น

Schema Markup คือโค้ดชนิดหนึ่งที่ใช้ในการบอกข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาของเว็บไซต์ให้กับเครื่องมือค้นหา เช่น Google, Bing หรือ Yahoo เพื่อให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ดีขึ้น และสามารถแสดงผลการค้นหาในรูปแบบที่มีประโยชน์มากขึ้นสำหรับผู้ใช้

การใช้งาน Schema Markup มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น:

  1. ปรับปรุง SEO การใช้ Schema Markup สามารถช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสปรากฏในผลการค้นหาที่สูงขึ้น
  2. เพิ่มการแสดงผลแบบ Rich Snippetsช่วยให้เนื้อหาของเว็บไซต์ปรากฏในรูปแบบที่โดดเด่นขึ้นในหน้าผลการค้นหา เช่น การแสดงคะแนนรีวิว ราคา หรือรูปภาพ
  3. เพิ่มความน่าเชื่อถือ  เนื้อหาที่มีการแสดงผลแบบ Rich Snippets สามารถช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ
  4. เพิ่มการคลิก (CTR) เนื้อหาที่แสดงผลแบบ Rich Snippets มักจะดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ได้ดีกว่า ซึ่งสามารถนำไปสู่การเพิ่มอัตราการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ (CTR)

การใช้งาน Schema Markup สามารถทำได้หลายวิธี เช่น ใช้ JSON-LD, Microdata หรือ RDFa โดยสามารถเพิ่มโค้ดเหล่านี้ลงในหน้า HTML ของเว็บไซต์ เพื่อระบุข้อมูลที่สำคัญต่างๆ เช่น บทความ, ผลิตภัณฑ์, เหตุการณ์, สูตรอาหาร เป็นต้น

ตัวอย่างโค้ด JSON-LD สำหรับบทความ

<script type=”application/ld+json”>

{

  “@context”: “https://schema.org”,

  “@type”: “Article”,

  “headline”: “หัวข้อบทความ”,

  “datePublished”: “2024-07-23”,

  “author”: {

    “@type”: “Person”,

    “name”: “ชื่อผู้เขียน”

  },

  “publisher”: {

    “@type”: “Organization”,

    “name”: “ชื่อองค์กร”,

    “logo”: {

      “@type”: “ImageObject”,

      “url”: “URL ของโลโก้”

    }

  }

}

</script>

การใช้ Schema Markup อย่างถูกต้องและครอบคลุมจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้นและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงของผู้ใช้ผ่านเครื่องมือค้นหา

เทคนิคในการทำ SEO ให้ติดหน้าแรกไวๆ

  1. ใช้ Key word ที่มี Volume สูง – ใช้คำค้นหาที่ผู้ใช้งานมักจะใช้และปรับปรุงเนื้อหาในเว็บไซต์ให้ตรงกับคำค้นหาเหล่านั้น 
  2. สร้างเนื้อหาคุณภาพ -เขียนบทความให้ตรงตามหลักของ SEO เนื้อหาที่มีประโยชน์และตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานจะช่วยให้ผู้ใช้งานเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์บ่อยขึ้น
  3. เพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ – เว็บไซต์ที่โหลดได้รวดเร็วจะมีโอกาสติดอันดับการค้นหาดีขึ้น
  4. สร้าง Backlinks จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ – ลิงก์จากเว็บไซต์อื่นๆ ที่มีความน่าเชื่อถือจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ
  5. ปรับปรุงโครงสร้างและเนื้อหาให้เป็นมิตรกับมือถือ – ปัจจุบันการค้นหาข้อมูลส่วนใหญ่เกิดขึ้นผ่านมือถือ การทำให้เว็บไซต์เป็นมิตรกับมือถือจะช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับ
  6. ใช้ Social Media – โปรโมทเนื้อหาของคุณผ่าน Social Media จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงและเพิ่มโอกาสในการติดอันดับการค้นหา

และนี่คือคำแนะนำในการทำ SEO ให้ติดหน้าแรกแบบที่คุณจะสามารถมองภาพรวมออกได้ว่า ควรเริ่มจากจุดไหนก่อน ซึ่งจะช่วยให้คุณวางแผนการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับได้ง่ายขึ้น

seo services บริการทำ SEO ที่จะช่วยให้คุณต่อยอดธุรกิจได้ง่ายขึ้น บริการดูแลเว็บไซต์แบบครบวงจร จาก Go Goal Agency เอเจนซี่ SEO มืออาชีพ ที่จะทำให้การทำ SEO ของคุณได้ผลตอบรับแบบเต็มที่!!

แหล่งข้อมูลอ้างอิง  

What Is Schema Markup & How to Implement It https://www.semrush.com/blog/schema-markup/

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ SEO

การทำ SEO ควรเริ่มจากการวิจัยคำหลัก สร้างเนื้อหาคุณภาพ และปรับปรุงโครงสร้างของเว็บไซต์

การทำ SEO อาจใช้เวลาหลายเดือนถึงหลายปีขึ้นอยู่กับความแข่งขันและความพยายามในการปรับปรุง

SEO เป็นการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับในผลการค้นหาโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ขณะที่ PPC เป็นการจ่ายเงินเพื่อให้โฆษณาปรากฏในผลการค้นหา

เครื่องมือ SEO ที่ดีได้แก่ Google Analytics, Ahrefs, และ SEMrush ซึ่งช่วยในการวิเคราะห์และติดตามผล

การทำ SEO ควรเริ่มจากการวิจัยคำหลัก และสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและมีคุณภาพ

การทำ SEO ช่วยเพิ่มการมองเห็น เพิ่มการเข้าชม และเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจในโลกออนไลน์