Table of Contents

เมื่อพูดถึงการโฆษณาออนไลน์ผ่าน Google Ads หรือแพลตฟอร์มโฆษณาอื่น ๆ ชื่อของ Display Ads และ Search Ads YouTube Ads เคล็ดลับมักจะถูกกล่าวถึงเสมอ เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย (Target Audience) ได้อย่างแม่นยำและหลากหลาย อย่างไรก็ตาม หลายธุรกิจอาจยังสับสนว่า ควรเลือกใช้รูปแบบโฆษณาไหนให้คุ้มค่ากับงบประมาณ และเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ (Objective) ของตนเอง

รู้จัก Display Ads  โฆษณาภาพและแบนเนอร์ที่ปรากฏทั่วเว็บ

Display Ads คือการโฆษณาในรูปแบบภาพ แบนเนอร์ วิดีโอ หรือ Rich Media ที่ปรากฏบนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในเครือข่ายของ Google Display Network (GDN) หรือเครือข่ายอื่น เช่น Facebook Audience Network เป็นต้น

  1. ลักษณะเด่น

     

    • เน้นการใช้ภาพ สี ตัวอักษร เพื่อดึงดูดความสนใจ (Visual-Oriented)
    • สามารถปรากฏในหลากหลายขนาดและตำแหน่ง เช่น แบนเนอร์ด้านบน (Leaderboard), ด้านข้าง (Skyscraper), กลางบทความ ฯลฯ
    • เข้าถึงผู้ใช้ตาม Interest (ความสนใจ), Demographic (ข้อมูลประชากร), Context (บริบทของหน้าเว็บ) หรือ Remarketing (ตามผู้ใช้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บ)
  2. ข้อดีของ Display Ads

     

    • สร้างการรับรู้ (Brand Awareness)  ด้วยความเป็นภาพและสีสัน ทำให้จดจำแบรนด์ได้ง่าย
    • เจาะจงกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลาย  เลือกตามความสนใจ เว็บไซต์เฉพาะกลุ่ม หรือรีมาร์เก็ต ผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์
    • Cost-Per-Click (CPC) มักต่ำกว่า Search Ads  เหมาะกับการลงทุนเพื่อให้ผู้คนเห็นแบรนด์ในวงกว้าง
  3. ข้อจำกัดของ Display Ads

     

    • อัตรา Conversion ไม่สูงเท่า Search  เพราะผู้ใช้ที่เห็นมักไม่ได้อยู่ในช่วง “ต้องการซื้อ” ทันที
    • Banner Blindness  ผู้ใช้บางกลุ่มมองข้ามแบนเนอร์โฆษณาไปโดยอัตโนมัติ
    • ต้องเน้นความสวยงามของดีไซน์  หากกราฟิกไม่น่าดึงดูด ก็อาจไม่ได้ผลดี

รู้จัก Search Ads  โฆษณาเมื่อมีการค้นหา

Search Ads คือการโฆษณาที่ปรากฏบนหน้าผลการค้นหา (SERPs) ของ Google หรือเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ เมื่อผู้ใช้พิมพ์คำค้นหา (Keyword) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น หากคนค้นว่า “ซื้อรองเท้าวิ่ง” ก็อาจเห็นโฆษณาของร้านรองเท้ากีฬาปรากฏด้านบน

  1. ลักษณะเด่น

     

    • มักเป็นข้อความสั้น ๆ (Text Ad) ปรากฏเหนือหรือใต้ผลการค้นหาปกติ
    • ผู้ใช้ที่คลิกโฆษณามี “Intent” หรือความต้องการอยู่แล้ว (เช่น ต้องการซื้อสินค้า)
    • จ่ายเงินแบบ Pay-Per-Click (PPC) คือจ่ายเฉพาะเมื่อมีคนคลิก
  2. ข้อดีของ Search Ads

     

    • เข้าถึงคนที่มีความต้องการจริง  โอกาส Convert สูง เพราะผู้ใช้กำลังหาข้อมูลหรือสินค้าอยู่
    • วัดผลง่าย  สามารถดูได้ว่าคีย์เวิร์ดไหนส่งคนเข้าเว็บไซต์และสร้างยอดขายจริง ๆ
    • แข่งด้วยความเกี่ยวข้อง (Relevance)  หากโฆษณาสอดคล้องกับคีย์เวิร์ด คุณภาพโฆษณาจะสูงและจ่าย CPC ต่ำลง
  3. ข้อจำกัดของ Search Ads

     

    • ค่าคลิกอาจสูงในคีย์เวิร์ดการแข่งขันสูง  เช่น ประกันรถยนต์ สินเชื่อบ้าน
    • ต้องมีการวิจัยคีย์เวิร์ดอย่างต่อเนื่อง  เพื่อรักษาประสิทธิภาพ
    • จำกัดเฉพาะผู้ที่ “ค้นหา”  ไม่สามารถไปกระตุ้นคนที่ยังไม่สนใจได้เท่า Display

เปรียบเทียบ Display Ads vs. Search Ads

เปรียบเทียบ

Display Ads

Search Ads

รูปแบบ

ภาพ แบนเนอร์ วิดีโอ

ข้อความสั้น (Text Ads)

กลุ่มเป้าหมายหลัก

คนทั่ว ๆ ไป หรือแบ่งตามความสนใจ / Remarketing

คนที่ “ค้นหา” สิ่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ

วัตถุประสงค์หลัก

Brand Awareness, ดึงความสนใจ

Conversion, ได้ลูกค้าที่พร้อมซื้อ

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย (CPC)

มักต่ำกว่า

อาจสูงกว่าหากแข่งขันสูง

อัตรา Conversion

ต่ำกว่า Search เนื่องจากยิงใส่กลุ่มกว้าง

สูงกว่า เพราะคนมีเจตนาชัดเจนในการค้นหา

ดีไซน์

เน้นความสวยงาม ดึงดูดสายตา

เน้น Copywriting ให้เหมาะกับคีย์เวิร์ดและ Intent

กรณีศึกษา  ธุรกิจแบบไหนควรใช้ Display หรือ Search

  1. ธุรกิจเปิดตัวแบรนด์ใหม่ / สินค้าใหม่

     

    • ควรเริ่มที่ Display Ads เพื่อให้คนรู้จักในวงกว้าง สร้าง Awareness และความคุ้นเคย
    • ตามด้วย Search Ads สำหรับผู้ที่เริ่มสนใจและค้นหาข้อมูลสินค้า/แบรนด์
  2. ธุรกิจที่สินค้าหรือบริการมีความเฉพาะเจาะจงสูง

     

    • เช่น ซอฟต์แวร์เฉพาะด้าน การเรียนออนไลน์แบบพิเศษ คนที่ค้นหามัก “ตั้งใจ” ซื้อหรือสนใจจริง ๆ
    • ควรเน้น Search Ads เป็นหลัก ให้เข้าถึงผู้ที่มี Intent สูง
  3. ธุรกิจ e-Commerce ขนาดใหญ่

     

    • มักใช้ทั้ง Search เพื่อดึงคนที่ค้นหาสินค้าหน้าเว็บ และ Display ในการทำ Remarketing ตามคนที่เคยเข้ามาดูสินค้าแล้ว แต่ยังไม่ซื้อ
  4. ธุรกิจด้านบริการ เช่น ท่องเที่ยว โรงแรม

     

    • ใช้ Display เพื่อดึงดูดภาพสวย ๆ ของสถานที่พัก สร้างแรงบันดาลใจ
    • ผสานกับ Search เพื่อให้คนที่ “ค้นหาโรงแรม” หรือ “ตั๋วเครื่องบิน” เจอข้อเสนอพิเศษ

เทคนิคการตั้งค่าให้เกิดประสิทธิภาพสูง

  1. Targeting อย่างละเอียด

     

    • Display  ตั้งเป้า Interest, Topic, Placement, Remarketing
    • Search  เลือก Exact Match, Phrase Match, หรือ Broad Match Modifier เพื่อให้โฆษณาโชว์เฉพาะคีย์เวิร์ดที่ตรงกลุ่ม
  2. ปรับปรุงคุณภาพโฆษณา (Ad Quality)

     

    • Display  ใช้ดีไซน์น่าดึงดูด ข้อความสั้นและชัดเจน มี Call to Action เด่น ๆ
    • Search  พัฒนาคะแนนคุณภาพ (Quality Score) โดยปรับเนื้อหาโฆษณาให้สอดคล้องกับ Landing Page
  3. Test A/B

     

    • ทดสอบเวอร์ชันต่าง ๆ ทั้งรูปภาพ (ใน Display) และข้อความโฆษณา (ใน Search) เพื่อหาเวอร์ชันที่ได้ผลดีที่สุด
  4. ตั้ง Budget และ Bid Strategy ให้เหมาะสม

     

    • หากเน้น Conversion ใช้ Target CPA หรือ Target ROAS ใน Google Ads ก็ได้
    • หากเน้น Brand Awareness อาจเลือกใช้ CPM (Cost per Mille) ใน Display Ads
  5. Remarketing

     

    • ไม่ว่าจะ Display หรือ Search คุณสามารถทำ Remarketing เพื่อกลับไปหาคนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ แต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ

ปรับใช้ E-A-T ในงานโฆษณา

E-A-T (Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) ส่วนใหญ่เราเคยได้ยินในบริบทของการทำ Content Marketing หรือ SEO แต่ในงานโฆษณาก็สามารถใช้แนวคิดเดียวกันนี้ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและส่งเสริมประสิทธิภาพได้ เช่น

  1. Expertise

     

    • แสดงความเชี่ยวชาญของแบรนด์ผ่านโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นสโลแกน “ผู้เชี่ยวชาญกว่า 10 ปีใน…” หรือเน้นคำรับรองจากลูกค้า
  2. Authoritativeness

     

    • ใส่โลโก้องค์กรรับรองรางวัล หรือเน้นความเป็นผู้นำตลาด เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกว่าแบรนด์มีอำนาจในด้านนั้น ๆ
  3. Trustworthiness

     

    • ใช้เครื่องหมายความปลอดภัย (Safe Payment), รีวิว หรือการให้ข้อมูลติดต่อที่ชัดเจน เพื่อให้คนคลิกแล้วมั่นใจ

FAQ คำถามที่พบบ่อย

Q1 ถ้าเป็นธุรกิจใหม่ที่งบโฆษณาน้อย ควรลงทั้ง Display และ Search ไหม?

 A  หากงบจำกัดและสินค้ายังไม่เป็นที่รู้จัก ควรแบ่งส่วนเล็ก ๆ ใน Display เพื่อสร้างแบรนด์ แล้วเน้น Search ในคีย์เวิร์ดที่มี Intent ซื้อสูง จะคุ้มกว่า

A  เหมาะหากใช้เพื่อ Retargeting หรือสร้าง Brand Awareness ก่อน แต่การขายสินค้าราคาแพงมักต้องใช้เวลาปลูกฝังความต้องการ อาจต้องผสานคอนเทนต์เชิงให้ความรู้ (Content Marketing)

A  มี แพลตฟอร์มอย่าง Facebook Ads, Instagram Ads, Programmatic Ads ผ่านเครือข่ายต่าง ๆ ก็สามารถทำโฆษณา Display ได้เช่นกัน

A  ขึ้นอยู่กับตลาด หากกลุ่มเป้าหมายเป็นต่างประเทศ และบางตลาดใช้ Bing/Yahoo เยอะ ก็ยังมีความจำเป็น แต่ในไทย Google ยังครองส่วนแบ่งใหญ่สุด

A  ควรทดสอบอย่างต่อเนื่อง (A/B Testing) ถ้าเห็นว่า Ad Performance ตก ให้ลองเปลี่ยนใหม่เพื่อเรียกความสดใหม่ และปรับปรุง CTR ให้ดีขึ้น

Display Ads และ Search Ads เป็นเหมือนสองเครื่องมือทรงพลังในโลกของ Digital Marketing แต่ละรูปแบบมีจุดเด่นต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของธุรกิจ Display เหมาะกับการสร้างการรับรู้วงกว้าง สะกิดความสนใจของผู้ชมด้วยภาพและสีสัน ส่วน Search มุ่งตรงหาผู้ที่กำลังต้องการหรือตัดสินใจซื้อ ทำให้มีโอกาส Convert สูง

อย่างไรก็ตาม ไม่มีคำตอบตายตัวว่าจะต้องเลือกแบบใดแบบหนึ่งเสมอไป หลายครั้งแบรนด์ใหญ่ใช้ Combo ทั้งสองวิธี โดยให้ Display เป็นด่านหน้าในการโปรโมตแบรนด์ และใช้ Search เป็นตัวปิดดีล (Conversion) รวมถึงการทำ Remarketing เพื่อให้ลูกค้าจดจำแบรนด์อย่างต่อเนื่อง

เมื่อเข้าใจหลักการทำงานและจุดเด่นของทั้ง Display Ads และ Search Ads ก็ถึงเวลาที่คุณจะวางแผนและจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม หมั่นวัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิด ROI สูงสุด ตอบโจทย์เป้าหมายทางธุรกิจในยุคดิจิทัลที่มีการแข่งขันสูงเช่นปัจจุบัน!